วันจันทร์ที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2559

J.Artist Next to :: WEAVER ทรีโอแบนด์ขวัญใจเกมส์กิต

สวัสดีครับ เกมส์กิตครับ

จริงๆก็ห่างหายไปจาก J.Artist Next to เดือนนึงแล้ว ไม่ค่อยเวลาอัพเลยครับ
วันนี้ก็เลยเอาไอดอลมาแนะนำหน่อย ครั้งนี้ไม่ต้องดูสคริปต์เลยครับ เพราะรู้จักกันเป็นอย่างดี
สำหรับ WEAVER ไม่มีข้องโต้แย้งในเรื่องเพลงเลยครับ ถ้าใครมีโอกาสได้ฟังเพลงก็ต้อง
ยอมรับกันไปตามๆกันครับ แล้วก็จะไม่สงสัยเลยว่าทำไมถึงไม่มีข้อโต้แย้งตามที่พูดไว้
สำหรับท่านใดพอรู้จัก WEAVER แล้วก็โอเคครับ รสนิยมการฟังเพลงท่านดีมาก
แต่ถ้าท่านใดยังไม่รู้จักหรือแค่คุ้นๆชื่อ คุ้นๆหน้า วันนี้เรามาทำความรู้จักวงนี้กันให้มากขึ้นดีกว่าครับ


จุดเริ่มต้นของทั้งสามหนุ่ม เกิดขึ้นขณะสามหนุ่มเรียนที่โรงเรียนมัธยมปลายโกเบเมื่อปี 2004 ซึ่งเป็นหนึ่งในโรงเรียนเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดของจังหวัดเฮียวโงะ ซึ่งนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้สามหนุ่มเริ่มก่อตั้งวงดนตรีแบบ 4 Piece Band (ดนตรีสี่ชิ้น) ซึ่งขณะนั้นมีสมาชิกทั้งหมดสี่คน โดยเริ่มต้นหัวหน้าวงอย่างเบ้จังรับตำแหน่งตีกลองชุด เสียงประสาน และเขียนเพลง สุกิคุง รับตำแหน่ง Front Man โดยเป็นนักร้องนำพ่วงกับเปียโน ส่วนโอ๊คคุง ก็รับตำแหน่งกีต้าร์เบสและเสียงประสาน ร่วมกับเพื่อนอีกหนึ่งคนที่ปัจจุบันไม่ได้อยู่ในวงแล้ว (ตำแหน่งกีต้าร์ ณ ตอนที่ยังเป็นวงดนตรี 4 ชิ้น) 
ก่อตั้งขึ้นเป็นวงดนตรีในนามว่า "WEAVER"
จุดเปลี่ยนของพวกเขาเกิดขึ้นในช่วงปี 2007 ซึ่งปีนั้นเป็นปีที่พวกเขาจะต้องสำเร็จการศึกษาระดับมัธยมปลาย โอ๊คคุงและเบ้จัง ตัดสินใจเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยสายสามัญ ซึ่งในขณะเดียวกันสุกิคุง
กลับเลือกที่จะศึกษาต่อในวิทยาลัยศิลปะและการดนตรีแทน ซึ่งในช่วงจุดเปลี่ยนนี้ วงก็ยังคงมีงานอยู่ตามปกติ ทั้งในส่วนของการออกแสดงสดตามที่ต่างๆ นั่นเลยเป็นเหตุผลที่ทำให้พวกเขาต้องหยุดการเรียนไป และในช่วงปลายปีเดียวกันนั้นเอง วงก็มีการเปลี่ยนแปลงและเหลือสมาชิกเพียงแค่ 3 คน
ซึ่งนั่นเลยเป็นจุดเปลี่ยนให้วงใช้เปียโนเป็นดนตรีหลักมาจนถึงปัจจุบัน โดยเปิดฉากการแสดงครั้งแรกที่ใจกลางเมืองโกเบ ในไลฟ์เฮ้าส์ VARIT และสถานที่ที่แห่งนี้เอง ก็ได้หล่อหลอมให้พวกเขามีชื่อเสียง
ร่วมถึงสถานที่ที่แห่งนี้เองยังกลายเป็นใบเบิกทางให้พวกเขาเข้าสร้างเสียงเพลงมาอยู่ในวงการ


ในเดือนตุลาคมปี 2009 Debut Download Single ของพวกเขาทั้งหมดสามเพลงก็ได้ถูกปล่อยไปโลดแล่นอยู่บนหน้าปัดวิทยุและติดชาร์ตอยู่หลายสัปดาห์ ไม่ว่าจะเพลง "Hakuchoumu" "Raise" รวมถึงเพลง "Tokidoki Sekai" ซึ่งผลงานเพลงทั้ง 3 เพลงที่ออกมาต่อเนื่องกันนี้ ประสบความสำเร็จอย่างน่าประทับใจ และด้วยการติด TOP 3 ใน Recochoku Rock Full และพวกเขาก็ได้เซ็นสัญญากับค่ายเพลงชื่อดังที่สร้างชื่อเสียงให้ศิลปินมากมายอย่างค่าย A-sketch MUSIC Label ซึ่งเป็นค่ายเพลงย่อยมาจาก บริษัท Amuse ซึ่งเป็นบริษัทสื่อบันเทิงอันดับต้นๆของประเทศญี่ปุ่น และที่สำคัญยังได้ทีม Antwork ทีมที่คอยกำกับดูแลวง flumpool วงชื่อดังที่ WEAVER นับถือเป็นรุ่นพี่ มาเป็นผู้ดูแลการการทำงานอีกด้วย
เพื่อต่อยอดความสำเร็จจาก Download Single หลังจากนั้นอีกเพียงไม่นานพวกเขาก็ได้ปล่อย 
Debut Album "Tapestry" ที่มีทั้งสามเพลงแรกรวมอยู่ด้วย ซึ่งก็ได้รับความนิยมถึงขั้นติดอันดับที่ 19 ใน Oricorn Album Weekly Chart อีกด้วย ความพิเศษของชุดนี้คือทั้งสามคนเป็นคนควบคุมการทำงารเองทุกขั้นตอน และในเดือนเมษายน ปี 2010 พวกเขาก็เดินทางเข้าโตเกียว เพื่อเริ่มต้นทำงานด้านดนตรีกันอย่างเต็มตัวในนาม Trio Piano Rock Band "WEAVER"

ในเดือนมิถุนายน 2010 พวกเขาได้มีโอกาสทำงานร่วมกับโปรดิวเซอร์ชื่อดัง คาเมดะ เซอิจิ ในฐานะ Sound producer สำหรับ Single "Hard to say I love you ~Iidasenakute~" ซึ่งเป็น Single แรกของวง และนอกจากจะเป็น Single แรก เพลงนี้ยังถูกนำไปใช้เป็นเพลงประกอบซีรีย์ทางช่อง Fuji TV เรื่อง "Sunao ni Narenakute" โดยในหน้าที่ของเบ้จังคือการลงมือเขียนเนื้อร้องทั้งหมดทั้งซิงเกิ้ลเหมือนกับในส่วนของเดบิวต์อัลบั้มในผลงานครั้งที่แล้ว และจากนั้นไม่นาน ก็ได้ปล่อย Download Single "Bokura no eien ~Nando umarekawatte mo, te o tsunagitai dake no ai dakara~" เพลงที่มีชื่อยาวที่สุดถ้าเทียบกับเพลงอื่นๆของวง ซึ่งก็ได้ถูกเลือกนำมาใช้ประกอบโฆษณา au's "LISMO!" 

และยังเป็นเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง "Love Come" อีกด้วย และจากเพลงนี้เองก็ทำให้ WEAVER มีแฟนเพลงเพิ่มมากขึ้นมาเป็นเท่าตัว จนต่อยอดให้สามหนุ่มเร่งทำงานชิ้นต่อไปเพื่อเป็นการต้อนรับแฟนๆ

และเกิดเป็นอัลบั้มล่าสุดของพวกเขา ที่มีทั้งสอง Single ที่กล่าวไปนี้รวมอยู่ด้วย ซึ่งก็ถูกพูดถึงกันอย่างกว้างขวาง ซึ่งอัลบั้มได้แบ่งออกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกชื่อว่า “Shinsekai Souzouki” (New World Creation Chronicle) จะวางจำหน่ายวันที่ 25 สิงหาคม และส่วนที่สอง “Shinsekai Souzouki” วางจำหน่ายวันที่ 29 กันยายน 2010 ซึ่งในอัลบั้มดูแลควบคุมโดย Kameda Seiji เป็นการรับประกันผลงาน 

9 กุมภาพันธ์ 2011 การแสดงไลฟ์ "Shinsekai Souzouki" ซึ่งจัดขึ้นที่ Ebisu LIQUIDROOM ได้ถูกบันทึกและนำมาทำเป็น DVD ออกวางจำหน่ายเป็นครั้งแรก ซึ่งในวันเดียวกันนั้นเพลงใหม่ 
"(a)(i) wo atsumete" และเพลง "Kimi no Tomodachi" ที่ถูกนำมาใช้เพื่อให้กำลังใจนักกีฬาในงานแข่งขันฟุตบอลมัธยมปลายแห่งชาติครั้งที่ 89 ก็ได้ถูกวางจำหน่ายด้วยเช่นกัน
ในเดือนเมษายนปีเดียวกัน พวกเขาได้มีไลฟ์ขนาดใหญ่เป็นของตัวเองเป็นครั้งแรกชื่อว่า 
WEAVER First HALL Live 2011Spring Field Forever~ai no afureru basho~ ซึ่งจัดขึ้นที่ NHK Osaka Hall ใจกลางเมืองโอซาก้า ในวันที่ 1 เมษายน และที่ C.C.Lemon Hall ย่านชิบุยะ ในวันที่ 3 เมษายน และได้ปล่อยมินิอัลบั้มชุดที่สาม Jubilation ซึ่งรวมทั้งสองเพลงที่กล่าวมาไว้ด้วย

ซึ่งเวลานั้น วงก็เริ่มเข้าที่เข้าทางมากขึ้น เบ้จังเลยมีโอกาสศึกษาต่ออยู่ในระดับอุดมศึกษา ซึ่งเข้าเองก็มหาวิทยาลัยและสาขาวิชาที่คิดว่าเหมาะแก่การเดินทาง จึงเลือกศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัย Kwansei Gakuin (เอกปรัชญา) ซึ่งในหนึ่งสัปดาห์เขาจะต้องเดินทางกลับบ้านสองครั้งเพื่อไปเรียนและก็ได้สำเร็จการศึกษาเมื่อช่วงฤดูใบไม้ผลิในปี 2011 และทางด้านโอ๊คคุงก็ลงทะเบียนเรียนเป็นนักศึกษาภาควิชาวิศวกรรมอิเล็กทรอนิกส์ที่มหาวิทยาลัยโอซาก้า แต่เขาต้องหยุดเรียนไว้เพื่อมาทำงานดนตรีอย่างเต็มตัว
และในช่วงปลายปี 2011 พวกเขาก็ได้ฤกษฺ์ปล่อยซิงเกิ้ลที่สองที่มีชื่อว่า "Egao no Aizuเพื่อมาประกอบรายการ TV-show Asian Ace 

ช่วงต้นปี 2013 WEAVER ก็ได้ปล่อย Studio ชุดแรกของพวกเขาชื่อว่า Handmade โดยชื่อนี้ได้มาจากการทำงานของอัลบั้มชุดนี้ที่พวกเขาทำกันเองทุกขั้นตอน ตั้งแต่การแต่งเนื้อร้อง ทำนอง จนถึงขั้ตอนการเรียบเรียง และบันทึกเสียง และเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองอัลบั้มใหม่หนุ่มๆจึงจัด Tour ทั่วประเทศในชื่อว่า Handmade Tour 2013~WEAVER Piano Trio Performance~ และในรอบสุดท้ายที่จัดขึ้นที่ Zepp DiverCity ก็ได้ถูกบันทึกภาพมาวางขายในรูปแบบ DVD ด้วย ซึ่งไลฟ์ทัวร์ครั้งนี้ในรอบสุดท้ายที่ได้กล่าวไปข้างต้น ยังมีการขาย Limited Disc ที่มีจำนวนการผลิตจำกัด ซึ่งใน Limited Disc ที่ว่านั้นมีเพลงพิเศษที่ WEAVER ทำเอาไว้จำนวนสองเพลง ซึ่ง ณ ตอนนี้หาซื้อไม่ได้แล้ว ต้องบอกเลยว่า ถ้าใครไม่ได้ไปวันนั้น นับว่าน่าเสียดายมากเลยครับ

ช่วงกลางปีเดียวกัน พวกเขาได้ปล่อยซิงเกิ้ลที่ 3 YumeJyanai Konosekai ที่สุกิเอ่ยบอกว่าเพลงนี้แหละเป็นเพลงที่พวกเราชอบที่สุดและเป็นแนวทางของ WEAVER จริงๆ ซึ่งในซิงเกิ้ลนี้ยังประกอบไปด้วยเพลง Summer Tune ที่ถูกนำไปประกอบ CM ของ Kawaiijuku และอีกเพลง 1/4 Seiki ซึ่งเป็นเพลงที่ถูกทำขึ้นมาเพื่อมาต่อยอดใน Special Live 2013 ซึ่งไลฟ์นั้นเป็นไลฟ์พิเศษที่จัดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองให้กับเบ้จังที่มีอายุครบ 25 ปีบริบูรณ์ สำหรับภาพบรรยากาศในวันนั้นน่าประทับใจมากๆครับ

และช่วงต้นปีพวกเขาก็ได้มีโอกาสมาทำโปรเจคที่ประเทศไทยกับวง Instinct ในเพลง Light และ Time Will Find Away ซึ่งเพลง Time Will Find Away ก็ถูกนำมาบรรจุอยู่ในซิงเกิ้ลที่ 4 Kocchi wo Muite yo ซึ่งเป็นเพลงที่ถูกมาใช้ประกอบภาพยนตร์เรื่อง Momose , Kocchi wo Muite และหลังจากปล่อยซิงเกิ้ลที่ 4 พวกเขาก็ได้มีโอกาสไปเรียนที่เมืองลอนดอน ประเทศอังกฤษเวลาทั้งหมด 6 เดือนเต็ม และกลับมาปล่อยอัลบั้มรวมผลงานอย่างอัลบั้ม ID และทัวร์ทั่วประเทศในช่วงปลายปีในชื่อว่า ID TOUR 2014 ซึ่งในรอบสุดท้ายที่จัดขึ้นที่ชิบูย่าก็ได้ถูกบันทึกภาพมาวางขายซึ่งสำหรับ DVD ID TOUR 2014 ยังมีแพคพิเศษที่รวมภาพประทับใจจาก Special Live 2013 ที่ไม่ได้ถูกนำมาขาย มารวบขายกับ ID TOUR 2014 ในเว็บ Asmart อีกด้วย 


ในช่วงกลางปี 2015 WEAVER กลับมาทำงานเพลงในซิงเกิ้ลที่ 5 Kuchizuke Diamond ซึ่งเพลงนี้ถูกนำมาประกอบอนิเมะเรื่อง Yamadakun to 7nin Majo นับว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงของวงเยอะมากที่สุด เพราะครั้งนี้ไม่แค่แนวเพลงที่มีกลิ่นเพลงอังกฤษติดมา แต่ยังรวมไปถึงแนวความคิด เสื้อผ้าหน้าผมที่ถูกปัดฝุ่นใหม่ทั้งหมด เพื่อเปลี่ยนภาพใหม่ให้วงดูโตขึ้น ไม่ว่าจะสีผมของสุกิคุง หรือจะเป็นสไตล์การแต่งตัวของสามหนุ่ม ซึ่งในซิงเกิ้ลนี้ ยังมีเพลงที่น่าฟังอย่าง Beloved ที่ถูกนำไปประกอบภาพยนตร์สุดโรแมนติกอย่างเรื่อง Raia no Nori และอีกหนึ่งเพลงอย่างเพลง Time Piece ที่เคยถูกนำไปร้องเปิดใน ID TOUR 2014 ก็ถูกบรรจุลงในซิงเกิ้ลนี้ด้วย


ในช่วงเดือนตุลาคมปีเดียวกัน สามหนุ่มก็ได้ปล่อยซิงเกิ้ลใหม่ ที่มีชื่อซิงเกิ้ลว่า "Boys & Girls" โดยแนวเพลงก็ยังคงออกมาในแนวจังหวะมีเดียมตามที่สามหนุ่มถนัดกันอยู่แล้ว โดยยังคงใช้เสน่ห์ของเครื่องสายเข้ามาช่วยทำให้เพลงมีสีสันมากขึ้น เหมือนกับสามซิงเกิ้ลก่อนๆ เช่นเพลง Yumejyanai Konosekai , Kocchi wo Muite yo และเพลง Kuchizuke Diamond

ซึ่งเพลงนี้เบ้จังก็ยังคงรับหน้าที่เขียนเนื้อร้อง และสุกิคุงยังคงรับหน้าที่เขียนทำนองเช่นเคย

ในซิงเกิ้ลนอกจากจะมีเพลงใหม่อีกสองเพลงแล้ว ยังมีเพลง Door ที่หนุ่มๆเคยนำไปเล่นในหลายๆไลฟ์มาก่อนอีกด้วย (เช่น ID TOUR 2014) ซึ่งเพลง Door ก็จะถูกรวมมาอยู่ในซิงเกิ้ลนี้ด้วย
และความพิเศษสำหรับคนที่สั่งซื้อซีดีผ่าน Asmart Shop รวมถึงในสินค้าล็อตแรกที่สั่งกับทุกร้านซีดีชั้นนำจะได้รับเบอร์แบนด์ หรือสายรัดข้อมือที่ออกแบบมาเพื่อซิงเกิ้ลนี้โดยเฉพาะ
ซึ่งเมื่อไม่นานมานี้สามหนุ่มก็เพิ่งมีสตูดิโออัลบั้มชุดล่าสุดอย่าง Night Rainbow ที่รวมเพลงตั้งแต่ช่วงต้นปี 2015 และเพลงใหม่อีกทั้ง 9 เพลง


ซึ่งกล่าวได้อย่างเต็มปากว่าเพลงของ WEAVER นั้นมีทำนองที่เป็นเอกลักษณ์ และเนื้อหาที่แสดงออกถึงโลกทัศน์ที่ “โดดเดี่ยวแต่แข็งแกร่ง” สำหรับแผนงานในปัจจุบัน สามหนุ่มทำหน้าที่เป็น Sound producer กันเองอย่างเต็มตัวแล้ว ซึ่งในการทำงานดนตรีของพวกเขา ก็ลุยกันอย่างเต็มที่และใส่รายละเอียดในทุกๆขึ้นตอนการผลิตด้วยตัวเอง ซึ่งตั้งแต่เริ่มเดบิวต์จนถึงปัจจุบัน พวกเขาเดินทางมาเป็นเวลากว่า 7 ปี และจะครบ 8 ปีในช่วงปลายปีนี้ พวกเขาได้สร้างโลกใบใหม่ด้วยเสียงเพลงของพวกเขาและสุกิคุงซึ่งเป็นตัวแทนของวงเคยให้สัมภาษณ์พิเศษของ KKBOX ว่า

" พวกเขาต้องการจะสร้างดนตรีให้เป็นบทเพลงประโลมโลก ให้ทุกคนที่ได้ฟังมีกำลังใจจากเพลงของพวกเขาและอยู่กับความเป็นจริงพร้อมสู้กับปัญหาและไม่เดินหนีมัน พวกเขาบอกว่านี่เป็นสิ่งที่พวกเขาฝันเอาไว้เสมอ ว่าทุกคนที่ได้ฟังเพลงของพวกเขาจะมีกำลังใจดีดีกลับไป "


และนี่คงเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้แฟนๆของ WEAVER ยังคงรักอย่างเหนียวแน่นและคาดว่าจะมีแฟนเพลงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆในแต่ละปี ทั้งในประเทศญี่ปุ่นและในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงบ้านเรา 
นี่ละครับ WEAVER ที่ผมรู้จักแล้ว WEAVER ในแบบคุณล่ะ พวกเขาเป็นยังไง?