วันอาทิตย์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2558

WEAVER TimePiece EP.01 สุขสันต์วันเกิดเบ้จัง!!!!!! (Toru Kawabe 27th Years Old)

สวัสดีคร้าบบบบบบบ!

วันนี้เป็นวันคล้ายวันเกิดคุณพี่หัวเห็ด คาวาเบะ โทรุ ของผมครับ
ปีนี้อายุครบ 27 ปีบริบูรณ์แล้ว เย้!~!!!!!!!!!


นี่เป็นสเปเชียลบล๊อกในนามว่า WEAVER TimePiece ซึ่งบล๊อกนี้เป็น Episode แรกนะฮะ
บล๊อกนี้ว่ามาอวยพรวันคล้ายวันเกิดของรุ่นพี่เบ้จัง ที่ผมเคารพและนับถือมากๆ ในทุกๆด้านเลยด้วยครับ
ก็จะมาเขียนความประทับใจเรื่องราวต่างๆรวมถึงเหตุผลว่าทำไมผมถึงรักและเคารพเบ้จังถึงขนาดนั้น
และรวบรวมรูปภาพสวยๆและภาพเบื้องหลังตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันของเบ้จังมาให้ทุกคนได้ชมกันด้วย
เอาล่ะ ขอร้องเพลง Happy Birthday และ ขออวยพรให้เบ้จังก่อนเลยแล้วกันนะครับ (^^)

" Happy birthday to you, Happy birthday to you
Happy Birthday Happy Birthday, Happy Bithday dear Bechan"

" ขอให้เบ้จังมีความสุขมากๆนะครับ ขอให้แฟนๆหลงรักเยอะๆ เขียนเพลงดีๆออกมาเยอะๆ
ขอบคุณมากๆนะครับ สำหรับเนื้อเพลงที่มีความหมายดีดีออกมาให้พวกเราแฟนคลับได้รับฟัง
ขอบคุณสำหรับทุกๆอย่าง และก็ขอให้เบ้จังอยู่กับแฟนๆในนาม WEAVER ไปนานๆ ขอให้มีอายุยืนยาว สุขภาพแข็งแรงมากๆ และก็ขอให้โชคดีมีชัยด้วยนะครับ คุณพี่หัวเห็ด (ฮา) "



----มารู้จักเบ้จัง & วง WEAVER กันหน่อย----


คาวาเบะ โทรุ(河邉徹)หรือชื่อเล่น เบ้จัง(ベーちゃん)เกิดวันที่ 28 มิถุนายน ปีศริสต์ศักราช 1988
เริ่มเรียนโรงเรียนมัธยมปลายโกเบเมื่อปี 2004 ซึ่งเป็นหนึ่งในโรงเรียนเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดของจังหวัด Hyogo ซึ่งนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เบ้จังเริ่มเล่นดนตรีและเริ่มก่อตั้งวงดนตรีแบบ 4 Piece Band ในโรงเรียนร่วมกับเพื่อนอีก 3 คน  โดยเบ้จังรับตำแหน่งตีกลองชุดและเสียงประสาน และสมาชิกอีก 2 คนในวงนั้นก็รวมถึงสมาชิกอีก 2 คนในปัจจุบันของวง นั่นคือ สุกิคุง (ร้องนำ,เปียโน) และ โอ๊คคุง (กีต้าร์เบส,เสียงประสาน) และเพื่อนอีกหนึ่งคนที่ปัจจุบันไม่ได้อยู่ในวงแล้ว (ตำแหน่งกีต้าร์ ณ ตอนที่ยังเป็นวงดนตรี 4 ชิ้น) ก่อตั้งขึ้นเป็นวงดนตรีในนาม "WEAVER"  

รูปตอนสมัยเรียนมัธยมปลาย เรียงจากซ้ายไปขวา เบ้จัง > สุกิคุง > โอ๊คคุง

และก็ถึงปี 2007 ถึงช่วงเวลาที่พวกเขาจะต้องสำเร็จการศึกษาระดับมัธยมปลาย โอ๊คคุง (กีต้าร์เบส,เสียงประสาน) และเบ้จัง (กลอง,เสียงประสาน) ก็ได้เข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัยสายสามัญ แต่ขณะเดียวกันสุกิคุง (เปียโน,ร้องนำ) ก็เลือกที่จะศึกษาต่อในวิทยาลัยศิลปะและการดนตรีแทน ซึ่งในขณะที่วงก็ยังคงมีงานอยู่ รวมไปถึงกิจกรรมและงานของวงที่มีมากมาย รวมถึงการออกแสดงสดตามที่ต่างๆ จึงทำให้พวกเขาต้องหยุดการเรียนไป และในช่วงปลายปีเดียวกันนั้นเอง วงดนตรีก็ได้ถูกสร้างขึ้นอีกครั้งด้วยสมาชิกในปัจจุบันที่มีจำนวน 3 คน คือ สุกิโมโตะ ยูจิ (ร้องนำ,เปียโน) โอคุโนะ โชตะ (เบส,เสียงประสาน) และคาวาเบะ โทรุ (กลอง,เสียงประสาน) โดยเปิดฉากการแสดงครั้งแรกที่ใจกลางเมืองโกเบ ในไลฟ์เฮ้าส์ VARIT และที่นั่นเองก็เป็ที่สร้างชื่อเสียงของวงทำให้คนกล่าวขานถึงพวกเขาอยู่มากมายในคำโปรยที่ว่า Trio Piano Rock Band ในนามชื่อวงว่า WEAVER กลับมามีชีวิตชีวาด้วยเสียงเพลงอีกครั้งนึง

รูปเมื่อปี 2011 ขณะที่โปรโมทซิงเกิ้ล Hard to say I love you ~Idasenakute~

และเมื่อเดือนตุลาคมปี 2009 Debut Download Single ของพวกเขา "Hakuchoumu" ก็ได้ถูกปล่อยออกมาสำหรับการเมเจอร์เดบิวท์ เริ่มต้นด้วย "Hakuchoumu" ต่อด้วย "Raise" เป็น Second Download Single และตามมาด้วย Third Download Single ซึ่งก็คือ "Tokidoki Sekai" ซึ่งผลงานเพลงทั้ง 3 เพลงที่ออกมาต่อเนื่องกันนี้ ประสบความสำเร็จอย่างน่าประทับใจ และเนื้อเพลงทั้งสามเพลงนั้นก็เป็นฝีมือในการเขียนเนื้อเพลงของเบ้จัง และด้วยการติด TOP 3 ใน Recochoku Rock Full และพวกเขาก็ได้เซ็นสัญญากับค่่ายเพลงชื่อดังที่สร้างชื่อเสียงให้กับวง flumpoor นั่นก็คือค่าย Asketch MUSIC Label ซึ่งเป็นค่ายเพลงย่อยมาจาก บริษัท Amuse ซึ่งเป็นบริษัทสื่อบันเทิงอันดับต้นๆของประเทศญี่ปุ่น และพวกเขาเองก็ทำงานอยู่กับทีมทำเพลง Antwork


หน้าปกแจ็คเก็ตอัลบั้ม Tapestry

หลังจากนั้นอีกเพียงไม่นานพวกเขาก็ได้ปล่อย Debut Album "Tapestry" ซึ่งได้รับความนิยมถึงขั้นติดอันดับที่ 19 ใน Oricorn Album Weekly Chart อีกด้วย และในเดือน เมษายน ปี 2010 พวกเขาก็เดินทางเข้าโตเกียว เพื่อเริ่มต้นทำงานด้านดนตรีกันอย่างเต็มตัวในนาม Trio Piano Rock Band "WEAVER"




หน้าปกแจ็คเก็ตซิงเกิ้ล Hard to say Iove you ~Idasenakute~
ในเดือนมิถุนายน 2010 พวกเขาได้มีโอกาสทำงานร่วมกับโปรดิวเซอร์ชื่อดัง คาเมดะ เซอิจิ ในฐานะ Sound producer สำหรับ Single "Hard to say I love you ~Iidasenakute~" ซึ่งเป็น Packaged Single แรก และมันก็ถูกใช้เป็นเพลงหลักประกอบซีรีย์ทางช่อง Fuji TV เรื่อง "Sunao ni Narenakute" โดยในหน้าที่ของเบ้จังคือการลงมือเขียนเนื้อร้องทั้งหมดทั้งซิงเกิ้ลเหมือนกับในส่วนของเดบิวต์อัลบั้มในผลงานครั้งที่แล้ว และต่อมาก็ได้ปล่อย Download Single ล่าสุดของพวกเขา "Bokura no eien ~Nando umarekawatte mo, te o tsunagitai dake no ai dakara~" ก็ได้ถูกเลือกเพื่อใช้ประกอบโฆษณา au's "LISMO!" และยังเป็นเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง "Love Come" อีกด้วย

สำหรับอัลบั้มล่าสุดของพวกเขาซึ่งมีทั้งสอง Single นี้รวมอยู่ด้วย ได้ถูกพูดถึงกันอย่างกว้างขวาง ซึ่งอัลบั้มได้แบ่งออกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกชื่อว่า “Shinsekai Souzouki” (New World Creation Chronicle) จะวางจำหน่ายวันที่ 25 สิงหาคม และส่วนที่สอง  “Shinsekai Souzouki” วางจำหน่ายวันที่ 29 กันยายน 2010 ซึ่งแน่นอนว่าเนื้อเพลงของอัลบั้มชุดนี้ก็ยังเป็นฝีไม้ลายมือของเบ้จังเช่นเคย

29 ธันวาคม เพลงใหม่ของ WEAVER "Kimi no Tomodachi" ได้ถูกนำมาใช้เพื่อให้กำลังใจนักกีฬาในงานแข่งขันฟุตบอลมัธยมปลายแห่งชาติครั้งที่ 89

9 กุมภาพันธ์ 2011 การแสดงไลฟ์ "Shinsekai Souzouki" ซึ่งจัดขึ้นที่ Ebisu LIQUIDROOM ได้ถูกบันทึกและนำมาทำเป็น DVD ออกวางจำหน่ายเป็นครั้งแรก และในวันเดียวกัน เพลงใหม่ 
"(a)(i) wo atsumete" ก็ได้ถูกวางจำหน่ายด้วยเช่นกัน
ในเดือน เมษายน ที่ผ่านมา พวกเขาได้มีไลฟ์เป็นของตัวเองเป็นครั้งแรก WEAVER First HALL Live 2011「Spring Field Forever~『a』『i』 no afureru basho~」ซึ่งจัดขึ้นที่ NHK Osaka Hall เมืองโอซาก้า ในวันที่ 1 เมษายน และที่ C.C.Lemon Hall ย่านชิบุยะ ในวันที่ 3 เมษายน




ภาพจากไลฟ์ WEAVER ID TOUR 2014 Leading Ship at Shibuya Public Hall

ซึ่งเวลานั้น (ปี 2011) เบ้จังเองก็กำลังศึกษาอยู่ในระดับอุดมศึกษาในมหาวิทยาลัย Kwansei Gakuin (เอกปรัชญา) เบ้จังจึงต้องเดินทางกลับบ้านสัปดาห์ละสองครั้งเพื่อไปเรียนหนังสือ และก็ได้สำเร็จการศึกษาเมื่อช่วงฤดูใบไม้ผลิในปี 2011
และทางด้านโอ๊คคุงก็ลงทะเบียนเรียนเป็นนักศึกษาภาควิชาวิศวกรรมอิเล็กทรอนิกส์ที่มหาวิทยาลัยโอซาก้า แต่เขาต้องหยุดเรียนไว้เพื่อมาทำงานดนตรีอย่างเต็มตัว


ภาพจากโปรเจคพิเศษที่ WEAVER มาประเทศไทย

และในช่วงปลายปี 2011 พวกเขาก็ได้ฤกษฺ์ปล่อยซิงเกิ้ลที่สองที่มีชื่อว่า "Egao no Aizu" เพื่อมาประกอบรายการ TV-show Asian Ace และช่วงต้นปี 2013 พวกเขาก็ได้ปล่อยสตูดิโออัลบั้มที่พวกเขาสร้างสรรค์ด้วยมือของพวกเขาที่มีชื่ออัลบั้มว่า Handmade และได้ออกทัวร์อีกครั้ง จนถึงช่วงกลางปีพวกเขาได้ปล่อยซิงเกิ้ลที่ 3 YumeJyanai Konosekai และช่วงปลายปีพวกเขาก็ได้มีโอกาสมาทำโปรเจคที่ประเทศไทยกับวง Instinct ในเพลง Light และ Time Will Find Away ซึ่งเพลง Time Will Find Away ก็ถูกนำมาบรรจุอยู่ในซิงเกิ้ลที่ 4 Kocchi wo Muite yo ซึ่งเป็นเพลงที่ถูกมาใช้ประกอบภาพยนตร์เรื่อง Momose , Kocchi wo Muite และหลังจากปล่อยซิงเกิ้ลที่ 4 พวกเขาก็ได้มีโอกาสไปเรียนที่เมืองลอนดอน ประเทศอังกฤษเวลาทั้งหมด 6 เดือนเต็ม และได้กลับทำงานเพลงที่พวกเขารักอีกครั้งในซิงเกิ้ลที่ 5 Kuchizuke Diamond ซึ่งถูกนำมาประกอบอนิเมะเรื่อง Yamadakun to 7nin Majo ซึ่งถือเป็นเส้นทางดนตรีเส้นใหม่ในปีที่ 6 ของพวกเขา 

ภาพปัจจุบันของ WEAVER เรียงจากซ้ายไปขวา เบ้จัง > สุกิคุง > โอ๊คคุง

ซึ่งกล่าวได้อย่างเต็มปากว่าเพลงของ WEAVER นั้นมีทำนองที่เป็นเอกลักษณ์ และเนื้อหาที่แสดงออกถึงโลกทัศน์ที่ “โดดเดี่ยวแต่แข็งแกร่ง” สำหรับแผนงานในปัจจุบัน คาเมดะ เซอิจิก็ยังคงทำหน้าที่เป็น Sound producer ร่วมถึงพวกเขาเองก็ได้ทำดนตรีของพวกเขาอย่างเต็มที่และใส่รายละเอียดในทุกๆขึ้นตอนการผลิต ซึ่งตั้งแต่เริ่มเดบิวต์จนถึงปัจจุบัน พวกเขาทั้งสามคนมีหน้าที่ตามนี้
  • สุกิโมโตะ ยูจิ (สุกิคุง) รับหน้าที่ประพันธ์ทำนอง ร้องนำและเปียโน
  • โอคุโนะ โชตะ (โอ๊คคุง) รับหน้าที่ประพันธ์ทำนอง กีต้าร์เบสและเสียงประสาน
  • คาวาเบะ โทรุ (เบ้จัง) รับหน้าที่เขียนเนื้อร้อง กลองและเสียงประสาน
และปัจจุบันพวกเขาก็ได้เดินบนเส้นทางดนตรีมาเป็นเวลา 5 ปีแล้ว พวกเขาได้สร้างโลกใบใหม่ด้วยเสียงเพลงของพวกเขาและพวกเขายังบอกในการสัมภาษณ์พิเศษของ KKBOX ว่า

" พวกเขาต้องการจะสร้างดนตรีให้เป็นบทเพลงประโลมโลก ให้ทุกคนที่ได้ฟังมีกำลังใจจากเพลงของพวกเขาและอยู่กับความเป็นจริงพร้อมสู้กับปัญหาและไม่เดินหนีมัน พวกเขาบอกว่านี่เป็นสิ่งที่พวกเขาฝันเอาไว้เสมอ ว่าทุกคนที่ได้ฟังเพลงของพวกเขาจะมีกำลังใจดีดีกลับไป "


และนี่เองก็เป็นเหตุผลที่ทำให้ผมประทับใจเบ้จังมากๆทั้งรักและก็ชื่นชมในฝีไม้ลายมือในการเขียนเพลงและการเล่นดนตรี และนั่นแหละครับ ผมถึงยกย่องเบ้จังเป็นไอดอลและเป็นบุคคลที่ผมรักมากอีกหนึ่งคน

















ติดตาม WEAVER ได้ที่

ดาวน์โหลดผลงานเพลงของ WEAVER ได้ที่



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น